ทุกครั้งที่มีการพูดถึงเรื่องปัญหาความขัดแย้งต่างๆที่เกิดขึ้นในสังคม สาเหตุหลักอย่างหนึ่งที่มักจะถูกหยิบยกขึ้นมากล่าวถึงอยู่เป็นประจำ ว่าเป็นรากเหง้า(Root Cause)หรือต้นตอที่นำไปสู่ปัญหาในระดับ"เชิงโครงสร้าง"ในสังคมเราทั้งจากอดีตจนถึงปัจจุบันนี้ ก็คงจะหนีไม่พ้นเรื่อง"ทัศนคติด้านการใช้ความรุนแรง"ทั้งทางความคิดและการกระทำต่อผู้อื่น เรื่องนี้ถ้าจะมองในเชิงลึกแล้วจะพบว่าโดยธรรมชาติแล้วพฤติกรรมก้าวร้าวหรือความรุนแรงนั้นมันมีอยู่ในคนเราทุกๆคน ขึ้นอยู่กับว่าใครจะมีมากน้อยแค่ไหนซึ่งมีผลมาจากประสบการณ์ในอดีต, สภาพแวดล้อมที่ประสบพบเจอ การเลี้ยงดูในวัยเด็ก และที่สำคัญที่สุดอีกอย่างก็คือพฤติกรรมดังกล่าวมันเป็นส่วนหนึ่งของ"กระบวนการคัดสรรโดยธรรมชาติ"(Natural Selection)ตามทฤษฎีวิวัฒนาการของชาร์ล ดาวิน ซึ่งมนุษย์ก็จัดเป็นสัตว์ชนิดหนึ่งที่วิวัฒน์สายพันธุ์ตัวเองมาจากเอฟ(Ape :วานร)เมื่อแสนปีที่แล้ว เมื่อมนุษย์สร้างความเจริญขึ้นมาทั้งทางวัตถุและทางจิตวิญญาณ ในระหว่างขั้นตอนของวิวัฒนาการ(ที่เรากำลังใช้ชีวตอยู่ ณ ตอนนี้)นั้น ร่างกายเรายังเหลือยีนของสัตว์ป่าติดตัวมา และเราต่างก็พยายามข่มสัญชาตญาณดิบแบบสัตว์ป่าที่หลงเหลือนั้นเอาไว้ด้วยการสร้างวัฒนธรรม สร้างขนบ ธรรมเนียม กฏเกณฑ์การวางตัวและการอยู่ร่วมกันในสังคมเอาไว้เยอะแยะมากมาย และเรียกสิ่งเหล่านั้นว่าเป็น"ความเป็นผู้มีอารยะ" หลายครั้งที่มุษย์ไม่สามารถแสดงพฤติกรรมบางอย่างที่ตอบสนองความต้องการของร่างกายตัวเองให้ผู้อื่นเห็นได้ ทั้งเรื่องเพศ หรือเรื่องอารมณ์ความรู้สึก เพราะกฏเกณฑ์ของสังคมมันมีคำว่า"ความรู้สึกผิดชอบชั่วดี"อันเป็นส่วนหนึ่งของความเป็นอารยชน มากั้นเอาไว้ เพื่อไม่ให้ทำอะไรที่ป่าเถื่อนออกมา จะว่าไปคนเราในสังคมบางส่วน(หรือหลายส่วน)ก็เป็นคนที่มีพฤติกรรมเก็บกดอยู่เหมือนกัน จนบางคนที่ขาดความยับยั้งชั่งใจ เมื่อถึงจุดหนึ่งที่ไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ ก็ต้องหาทางระบายออกด้วยการใช้ความรุนแรงกับผู้อื่น เช่น เด็ก ผู้หญิง หรือกับผู้ที่อ่อนแอกว่า และพัฒนาการของของความรุนแรงของคนในยุคนี้ที่เห็นเด่นชัดที่สุดก็คือการไปแสดงความคิดเห็นแนวบู้ รบรา ด่าทอ โจมตีกันใน Social Media กับคนที่ตัวเองไม่รู้จัก เหตุผลเพียงแค่เขาคิดเห็นไม่เหมือนกันตนเองเท่านั้น แบ่งพรรคแบ่งพวก กลายเป็นนักเลงคีย์บอร์ดที่เก่งกล้าสามารถเมื่ออวตารลงไปใน Social Media ไปเสีย บางทีในอีกหลายหมื่นปีข้างหน้ากระบวนการคัดสรรโดยธรรมชาติ ก็อาจจะสามารถกำจัดสัญชาตญาณดิบแบบสัตว์ป่าดังกล่าวออกไปจากยีนของมนุษย์ผ่านการถ่ายทอดทางพันธุกรรมจนหมดสิ้นไปก็เป็นได้ ระหว่างนี้เราอาจจะกำลังอยู่ในช่วงหนึ่งของการวิวัฒนาการ
แล้วความรุนแรงล่ะ มันถูกเก็บไว้ไหน? และเราจะบริหารจัดการกับมันอย่างไร? ทุกวันนี้เราก็เห็นแต่เรื่องรุนแรงกันอยู่เป็นประจำ อย่างเหตุฆาตกรรม(ที่มนุษย์กระทำต่อเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน)ที่ออกในรายการเล่าข่าวทุกเช้าทุกเย็นจนดูเหมือนกลายเป็นเรื่องปกติและธรรมดาไปเสียแล้ว(ทั้งๆที่มันไม่ปกติและไม่ใช่ธรรมดาเอาซะเลย) สื่อทั้งที่เป็นข่าวสารและสื่อบันเทิงก็เป็นอีกตัวการหนึ่งที่สร้างและหลอมรวมพฤติกรรมความรุนแรงให้กับคนในสังคมมาอย่างต่อเนื่อง ย้อนกลับไปเมื่อ 30 - 40 ปีที่แล้ว ในยุครุ่งเรืองของหนังไทยแนวแอ็คชั่นต่อสู้บู้ล้างผลาญ ที่ชื่อเรื่องของหนังในสมัยนั้นก็ต้องมีคำว่า ปล้น คำว่าเสือ(ซึ่งหมายถึงคำนำหน้าโจร) สิงห์ เหล็กไหล เจ้าพ่อ นักเลง ปืน เพชฌฆาต บลาๆๆๆ ความบันเทิงเริงใจของผู้คนคือการเสพย์สื่อภาพยนตร์ที่มีเนื้อหาประเภทตำรวจจับโจร โจรปล้นคนรวยมาช่วยคนจน มีฉากการยิงต่อสู้กัน ขนระเบิดมาปาใส่กัน การต่อสู้ด้วยของแข็งฟาดฟัน ทำร้ายทำลายกัน สารพัดความรุนแรงที่ฉาบหน้าเอาไว้ด้วยคำว่าความบันเทิงชั่วครู่ชั่วยาม สำหรับผู้ใหญ่นั้นพอหนังจบมันก็จบอยู่แค่ตรงนั้น กลับบ้านไปนอนฝันหวาน แต่สำหรับเด็กแล้ว การได้เห็นพระเอกถือปืน ควงปืน ยิงต่อสู้กับพวกเหล่าร้ายนั้นมันเป็นอะไรที่ฝังใจ ยิ่งมีหนังแนวบู้อะไรแบบนี้ให้เห็นบ่อยเข้าก็ยกให้พระเอกในหนังกลายเป็นไอดอลในดวงใจ สร้างใครสักคนขึ้นมาในห้วงคำนึงที่มีปืน มีอาวุธ มีความเก่งกาจ ต่อสู้กับพวกโจร เพื่อชวยเหลือผู้คน แล้วก็พยายามที่จะเป็นคนคนนั้นให้ได้ตามจินตนาการแบบเด็กๆ (สมัยนั้นไม่มีการจัดเรทของหนังนะ) ยิ่งตามต่างจังหวัดเวลามีหนังกลางแปลงมาฉายทั้งในงานมหรสพสมโภชญ์ งานบุญ หรือรถเร่ฉายหนังก็ตาม สิ่งหนึ่งที่เห็นคู่กันแบบขาดไม่ได้เลย นั่นก็คือร้านขายของเล่นปืนแก๊ปต่างๆนานา ทั้งแบบลูกโม่ แบบแม็กกาซีน หรือแม้แต่ปืน M16 กระบอกเบ้อเร้อ เด็กๆเล่นไล่ยิงกันตอนหัวค่ำเหมือนในโปสเตอร์หนัง เสียงแก๊ปดังหนวกหู ภาพลักษณะดังกล่าว มันเป็นฉากหน้าที่ถูกโรยไว้ด้วยวิถีชีวิตผู้คน ชุมชน สังคม บรรยากาศของความสนุกสนานในช่วงของเวลาที่รอยต่อของความเจริญได้ย่างกรายเข้ามาสู่ชุมชน แต่ใครจะเฉลียวใจหรือรู้ตัวบ้างว่าแท้ที่จริงแล้วนั่นคือขั้นตอนหนึ่งของการเพาะบ่มพฤติกรรมความรุนแรงให้กับเด็กๆทีละน้อยๆ
แต่สิ่งที่นักคิด นักเขียน หรือนักวิเคราะห์ยุคปัจจุบันต่างให้ความสนใจนั้นกลับไม่ใช่แค่ตัวหนังหรือเนื้อหาเพียงอย่างเดียวเท่านั้น ยังรวมไปถึงโปสเตอร์หนังด้วย หากใคร(ที่เกิดทัน)สังเกตให้ดีจะพบว่าในโปสเตอร์หนังบู้ของไทยแทบทุกเรื่องในอดีตนั้นจะต้องมีรูปพระเอกถือปืน เล็งปืน หรือแม้แต่ขณะยิงปืนมีกระสุนไฟแล๊บออกมากันทั้งนั้น ใครที่ติดตามงานศิลป์จำพวกภาพถ่ายหรือเป็นคนเล่นกล้อง DSLR อาจจะเคยได้ข่าวการจัดนิทรรศกาลหรือแกลเลอรี่ภาพถ่ายเกี่ยวกับ"เด็กและของเล่นอาวุธปืนตลอด 30 ปีที่ผ่านมา"อยู่บ่อยๆ (อย่างน้อยก็ 2 งานล่ะที่ผมได้ข่าวในรอบไม่กี่ปีมานี้) ก็เข้าใจนะว่าภาพพระเอกกับปืนมันเป็น Concept ของผู้สร้างหนังที่จะต้องสื่อสารทางการตลาดให้เข้าถึงผู้บริโภค เป็นกลยุทธ์ทางการตลาด แต่เพราะความไม่รู้ของผู้ใหญ่-นายทุนในสมัยก่อน ไม่รู้ว่าการใส่ชุดข้อมูลเรื่องปืน เรื่องการต่อสู้ที่มาในรูปของความบันเทิงของยุคนั้น มันได้สร้าง"เบ้าหลอมแห่งความรุนแรง"แบบยัดเยียดให้กับเยาวชนในขณะนั้นให้เติบโตมาเป็นคนที่อัดแน่นไปด้วยภาพและชุดความคิดของความรุนแรงโดยที่เขาไม่รู้ตัวว่านั่นคือพฤติกรรมก้าวร้าว เมื่อเติบโตขึ้นมาต่างคนต่างมี"แรงขับภายใน"ว่าตัวเองเป็นฝ่ายพระเอก คนอื่นที่ตัวเองไม่ชอบนั้นต้องเป็นผู้ร้าย แต่ละคนยกตัวเองให้ขึ้นสูงกว่าคนอื่น ไม่ยอมรับนับถือหรือเคารพต่อความคิดของคนอื่นที่ตรงกันข้ามกับของตน ขาดความอดทนอดกลั้นในการฟังสิ่งที่ตนเองไม่อยากฟัง คนในยุคนี้(ที่เป็นเยาวชนมาจากยุคหนังบู้)ส่วนใหญ่นั้นไม่ได้แสดงพฤติกรรมก้าวร้าว หรือความรุนแรงออกมาให้เห็นโดยตรง เวลาปกติก็ใช้ชีวิตแบบปกติ แต่แรงขับที่รุนแรงดังกล่าวมันถูกเก็บซ่อนเอาไว้ในก้นบึ้ง จะแสดงออกก็ต่อเมื่อจวนตัวหรือเจอสถานการณ์คับขันเท่านั้น หรือในเวลาที่ไม่มีคนอื่นรู้ว่าเขาเป็นใคร(เพราะสวมหน้ากากเป็นซุปเปอร์ฮีโร่ปกปิดตัวเองเอาไว้) อย่างตอนที่อยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ แต่เรากลับไม่เคยรู้ตัวเองเลยว่าลึกๆแล้วเราเป็นพวก"ดื้อเงียบ"หรือพวกก้าวร้าวที่พร้อมจะแสดงพฤติกรรมดังกล่าวออกมาเองทันทีที่สูญเสียการควบคุม
หลายคนที่ผ่านเบ้าหลอมดังกล่าวมา ปัจจุบันกำลังอยู่ในวัยที่เป็นพ่อแม่ เป็นผู้ปกครองของลูกชาย-ลูกสาวที่แสนรัก ยิ่งคนในสมัยนี้ที่หันมาแต่งงานกันช้า แตกต่างจากคนในสมัยก่อนอย่างสิ้นเชิง หลายคนแม้จะอายุใกล้ 40 ปีแล้ว แต่ก็เพิ่งจะมีลูกแบเบาะหรืออยู่ในปฐมวัย ผมเชื่อว่าพ่อแม่ยุคนี้เข้าใจปัญหาเรื่องความรุนแรงที่ตนเองถูกยัดเยียดมาในอดีตเป็นอย่างดี และมีแผนการเลี้ยงดูลูกๆในแบบที่จะไม่ยอมให้เกิดความผิดพลาดอย่างที่ตนเองเคยประสบพบเจอมาเป็นอันขาด(แต่ก็ไม่ใช่ทุกคนที่จะคิดแบบนี้) ทว่ายุคสมัยมันเปลี่ยนเร็ว ความเจริญก้าวหน้าทางเทคโนโลยี สื่อ Social Media เข้ามามีบทบาทต่อการเล่น การใช้ชีวิตของเด็กๆมากขึ้น ภาพความรุนแรงต่างๆอาจจะแฝงมาในเกมส์ ใน Clip ของเว็บ Youtube ที่เด็กๆชอบดูการ์ตูนหรือสื่อการสอนต่างๆก็เป็นได้ ซึ่งก็คงมีพ่อแม่เพียงไม่กี่ท่านเท่านั้นที่มีเวลามากพอ หรือจะเจียดเอาเวลาจากงานที่อยู่ตรงหน้าที่ล้นมือ เพื่อมาจัดกิจกรรมต่างๆให้เด็กๆได้ทำโน่น-นี่-นั่นเสริมพัฒนาการ มากกว่าการจดจ่ออยู่กับการเล่นสมาร์ทโฟนหรือแท็บเลทหลายชั่วโมง แต่ท้ายที่สุดแล้วพ่อแม่ทุกคนก็ต้องเรียนรู้ที่จะเสียสละสิ่งต่างๆรอบข้างกาย(แม้ว่าสิ่งนั้นมันจะสำคัญเอามากๆก็ตาม)เพื่อสร้างรากฐานสำหรับอนาคตให้กับลูก อนาคตที่พ่อแม่มีส่วนร่วมในการได้เห็นว่าพวกเขาเป็นคนดี สร้างสังคมที่แข็งแกร่ง เป็นคนที่มีคุณภาพทั้งทางร่างกายและจิตวิญญาณ(ผมหมายถึงสมองอ่ะนะ)
การใช้เวลาร่วมกันกับลูกๆในการทำกิจกรรมต่างๆ เช่นเล่นก่อกองทราย เล่นโยนบอล วิ่งไล่จับ ปั่นจักรยาน เล่านิทาน อ่านหนังสือให้ฟัง เล่นตัวต่อเลโก้ ต่อจิ๊กซอว์ เดินเล่นในสวนสาธารณะ ฯลฯ แม้ว่ามันจะเป็นเรื่องที่แสนจะธรรมดาเอามากๆ แต่ถ้าสามารถทำได้ในทุกๆวัน มันก็จะเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยกระชับความสัมพันธ์ในครอบครัว การทำกิจกรรมต่างๆให้ลูกเห็นนั้นมันเป็นการสร้างภาวะผู้นำจากการปฏิบัติให้ดู, สอนด้วยการเป็นแบบอย่างให้เห็นมากกว่าการพร่ำบอกว่าต้องทำอย่างนั้นอย่างนี้, สร้างความมั่นใจให้กับเด็กๆในการกล้าลองทำสิ่งใหม่ๆ, เด็กๆได้ความทรงจำบรรยากาศที่ได้ใช้เวลาร่วมกันกับพ่อแม่ที่น่าประทับใจ, สามารถผูกโยงเรื่องราวต่างๆที่ได้เห็นได้ทำในการเล่นกับสิ่งที่จะได้เรียนรู้ต่อไปในอนาคต, สมองสามารถจัดเรียงชุดความคิดต่างออกเป็นส่วนๆ เป็นหมวดหมู่จากการเล่นของเล่นจำพวกตัวต่อเลโก้, ทำให้เด็กๆอยากเล่นบทบาทสมมุติเป็นผู้ใหญ่ เช่นเล่นทำคุกกี้ ทำอาหาร ขันนัต-ขันสกรูเป็นช่าง ปลูกฝังค่านิยมในการทำงานให้เด็กๆเห็นเป็น"เรื่องสนุก"มากกว่าเห็นเป็น"ภาระที่หนักหนา" เมื่อโตขึ้นและเจอกับปัญหาต่างๆที่ผ่านเข้ามา ก็จะสามารถมองปัญหาเหล่านั้นเป็น"งานที่ต้องบริหารจัดการ" เกิดชุดความคิดในแง่บวกกับปัญหา ไม่ใช่ท้อแท้เมื่อเจอกับมันและมองว่าเป็นภาระที่หนักอึ้ง ฯลฯ ยิ่งเด็กผู้ชายที่ได้เล่นได้ทำกิจกรรมกับพ่อบ่อยๆ เขาก็จะเห็นพ่อเป็น"คนต้นแบบ"เป็นไอดอล เป็นแบบอย่างที่เขาจะทำตามมากกว่าไปสร้างฮีโร่ถือปืนตามในหนังจากคลิปต่างๆในอินเทอเน็ต
เราทุกคนต่างรู้ดีว่าความรุนแรงนั้นมันเป็นสิ่งที่อยู่คู่กับมนุษย์เรามาแต่ไหนแต่ไร เมื่อไม่สามารถกำจัดมันออกไปได้ และไม่สามารถกันเด็กๆออกจากมันได้ ซักวันเขาก็ต้องได้เรียนรู้เกี่ยวกับเรื่องความรุนแรง อาจจะแค่ความคิด หรืออารมณ์ซึ่งเป็นพัฒนาการไปตามวัย ดังนั้นเราจึงจำเป็นต้อง"เรียนรู้ที่จะอยู่กับมัน" บริหารจัดการกับความรุนแรง สอนให้เด็กๆเข้าใจความเป็นเหตุและผล เช่นทำไมตำรวจต้องจับผู้ร้าย ทำไมเขาจึงเป็นผู้ร้าย ทำไมเขาไม่เป็นคนดี ทำไมคนต้องต่อสู้กัน ทำไมมีสงคราม การอธิบายเรื่องนามธรรมเหล่านี้จะง่ายลงเมื่อใช้ความเป็นเหตุและผลโดยใช้สัตว์เป็นตัวละคร ควบคู่ไปกับการพาเด็กๆดูสารคดีหลายๆเรื่อง ค่อยๆป้อนชุดความคิดเกี่ยวกับการดำเนินชีวิตของสัตว์ให้เขารู้ เช่น คนต่อสู้กันเพราะหวงอาณาเขต แสดงความเป็นเจ้าของพื้นที่หากิน, คนต่อสู้กันเพราะต้องการเป็นจ่าฝูงเป็นหัวหน้าฝูงในการหาอาหาร คนบางคนดุร้ายเพราะเขาหวงไข่ กลัวพวกนักล่าจะมาขโมยไข่ไป ฯลฯ ถ้าเด็กสามารถเข้าใจความเป็นเหตุและผลได้ตั้งแต่เด็ก สามารถคิดเป็นขั้นตอนได้เมื่อยังเล็ก เขาก็จะเดิบโตขึ้นแบบเป็นคนมีตรรกะ สามารถแยกแยะความต่อเนื่องของเหตุและผลได้ เข้าใจเรื่องประเด็น ชี้ให้ถูกที่ จี้ให้ตรงจุด (ไม่ถู-แถ-ไถแบบคนสมัยนี้ที่ไม่มียางอายเมื่อทำสิ่งที่ผิดแล้วแก้ตัวไปแบบน้ำขุ่นๆ) ซึ่งทั้งหมดที่กล่าวมาจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อเด็กๆได้ใช้เวลาร่วมกันกับพ่อแม่ในการเล่นและเรียนไปพร้อมๆกัน(Play & Learn)
ปัญหาเรื่องพฤติกรรมความรุนแรงในสังคมสามารถ"ป้องกัน"การเกิด และ"แก้ไข"สิ่งที่เกิดขึ้นแล้ว... ได้!!! ขึ้นอยู่กับว่าคุณจะทำมันหรือเปล่า? หรือปล่อยให้มันเลยผ่านไป เหมือนกับว่าสังคมเราไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น!!
หน้าที่เข้าชม | 497,447 ครั้ง |
ผู้ชมทั้งหมด | 158,607 ครั้ง |
เปิดร้าน | 5 ส.ค. 2558 |
ร้านค้าอัพเดท | 5 ก.ย. 2568 |